🎙️The Worst Radio 👻
🎙️ พี่จ๊าค: สวัสดีครับคุณผู้ฟัง! กลับมาอยู่กับ The Worst Radio… คืนนี้เรามาอยู่กับประสบการณ์ สุดหลอนในโลกของ IT และการทําแอปพลิเคชัน… ตอนนี้เราไปรับสายจาก คุณ อู๊ดนะครับ
🐽 คุณอู๊ด: สวัสดีครับ พี่จ๊าค
🎙️ พี่จ๊าค: คุณอู๊ดโทรมาจากทีไหนครับ… แล้วเปน Developer สายไหนครับเนี่ย?
🐽 คุณอู๊ด: เป็น Full-Stack Developer ครับพี่จ๊าค เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนผมกําลังทําแอปตัวนึงเป็นร้านค้าไว้ขายของออนไลน์ครับ
🎙️ พี่จ๊าค: โอเคครับ! ประสบการณ์ที่คุณเจอเป็นประสบการณ์ตรงสุดหลอนกับโปรเจกต์… เชิญครับ!
🐽 คุณอู๊ด: ตอนแรกผมคิดว่างานนี้ไม่น่ายาก เปิดร้านค้า มีปุ่มสั่งซื้อ ชําระเงินผ่านบัตรเครดิต แต่แล้ว คืนนึง จังหวะที่ผมกําลังจะกด Commit โค้ดสุดท้าย… จู่ๆ ก็มีแชทดังขึ้น!
🎙️ พี่จ๊าค: ฮึ้ยยยย แล้ว… แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นครับ?
🐽 คุณอู๊ด: ในแชทเปนข้อความส่งมาว่า “น้อง พี่ขอเพิ่มอีกนิดเดียว”
🎙️ พี่จ๊าค: ขุ่นพระ! แล้วยังไงต่อครับ
🐽 คุณอู๊ด: นิดเดียวที่ว่า ก็คือให้เพิ่มระบบ Try-On AR ในทุกสินค้าและทำระบบ Dynamic Pricing ที่ราคาจะเปลี่ยนตามพฤติกรรมลูกค้าทุก 5 วินาทีครับ… ฮือออ แล้วมันจะเสร็จทันเดือนนี้มั้ยล่ะครับพี่จ๊าค!
🎙️ พี่จ๊าค: โอ้โหคุณน้า! ขนลุกครับ เรื่องนี้ผมมั่นใจว่า Developer ทุกคนฟังแล้วชาไปถึงสันหลังแน่ๆ! ขอบคุณมากนะครับคุณอู๊ด ที่มาแชร์ประสบการณ์สุดสยองของ ‘ขอเพิ่มนิดเดียว’ ในค่ำคืนนี้
จากเรื่องเล่าสยองๆ แนวพาโรดี้ข้างบน จริงๆ แล้วในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์เราเรียกพฤติกรรมการเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ เข้ามาโดยที่ไม่ได้มีการวางแผนไว้แต่แรกนี้ว่า “Feature Creep” หลายคนอาจคิดว่า โปรดักต์ที่ดี ต้องมีฟีเจอร์เยอะๆ — แต่จริงหรือเปล่า? วันนี้เรามาหาคำตอบกัน
💡 Feature Creep คืออะไร?
⚠️ ผลกระทบที่เกิดขึ้น
1. ผลิตภัณฑ์ซับซ้อน (Bloated): interface รก ใช้งานยาก
2. ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) แย่ลง: ผู้ใช้หาฟังก์ชันหลักไม่เจอ
3. ระบบทำงานช้าลง: ซอฟต์แวร์ใช้ทรัพยากรมากขึ้น
4. เพิ่มภาระการบำรุงรักษา
5. เกิด Bugs มากขึ้น ตามฟีเจอร์ที่เพิ่มเติมเข้ามา
6. ทีมพัฒนาสูญเสียโฟกัสหลัก
7. งานเกิดความล่าช้า เนื่องจากต้องใช้เวลาเพิ่ม งบบานปลาย
🧩 Case Study
Microsoft Word (ยุค 2000s)
Microsoft Word เริ่มต้นจากการเป็นโปรแกรมประมวลผลคำ (Word Processor) ที่ใช้งานง่ายและทรงพลัง ซึ่งหลายคนน่าจะต้องเคยใช้งานกันมาแล้วไม่มากก็น้อย
- ความซับซ้อนของ Interface (UI/UX Bloat): หน้าจอเต็มไปด้วยแถบเครื่องมือ (Toolbars) และเมนูที่ไม่ค่อยมีใครใช้ ทำให้ผู้ใช้ส่วนใหญ่รู้สึกท่วมท้นและหงุดหงิดกับการค้นหาฟังก์ชันพื้นฐาน
- ซอฟต์แวร์ทำงานช้าลง: การมีโค้ดขนาดใหญ่และฟังก์ชันที่ซับซ้อนส่งผลให้โปรแกรมใช้ทรัพยากรระบบมากขึ้น
Google Wave (2010-2012)
● สับสนในการใช้งาน: ผู้ใช้ไม่เข้าใจว่าควรใช้ Wave แทนอีเมล แชท หรือเครื่องมืออื่น ๆ และต้องใช้เมื่อไหร่
● การยอมรับต่ำ: แม้จะมีความตื่นเต้นในช่วงแรก แต่ผู้ใช้ก็เลิกใช้ไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความซับซ้อนและความคลุมเครือของวัตถุประสงค์
ตู้เย็นอัจฉริยะ (Smart Fridges)
● ราคาสูงเกินจริง: ฟีเจอร์ “อัจฉริยะ” เหล่านี้ทำให้ราคาสูงขึ้นอย่างมาก โดยที่ไม่ได้เพิ่มมูลค่าในการถนอมอาหารเลย
● ความยุ่งยากในการบำรุงรักษา: ระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์มีแนวโน้มที่จะล้าสมัยหรือมีปัญหาด้านความปลอดภัย ทำให้เกิดความไม่สะดวกมากกว่าความสะดวก
● ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่ใช้ฟีเจอร์เหล่านั้น: ฟีเจอร์หลักที่ผู้ใช้ต้องการคือการทำความเย็นที่ดีและประหยัดพลังงาน ไม่ใช่การดู YouTube บนประตูตู้เย็น
JIRA จาก tool เฉพาะทางสู่การเป็นแพลตฟอร์มรองรับงานทุกรูปแบบ
● ความซับซ้อนของ UI/UX: ผู้ใช้งานใหม่มักจะรู้สึก ท่วมท้นและสับสน ในการตั้งค่าโปรเจกต์ เนื่องจากมีตัวเลือก, ประเภท Issues, และการตั้งค่า Workflow ที่ปรับแต่งได้มากเกินไป
● Performance ลดลง: การมีฟีเจอร์และโค้ดที่ซับซ้อนมากทำให้เว็บแอปพลิเคชัน โหลดช้าลง หรือทำงานหนักขึ้นในบางกรณี
● การสูญเสียกลุ่มเป้าหมายเดิม: ทีมขนาดเล็กที่ต้องการเครื่องมือติดตามบั๊กที่เรียบง่ายมักจะหนีไปใช้เครื่องมือที่ใช้งานง่ายกว่า (เช่น Trello หรือ Asana)
Slack (แอปพลิเคชันสื่อสารในองค์กร)
● ภาระการตัดสินใจของผู้ใช้: ผู้ใช้ต้องตัดสินใจว่าจะใช้ Channel, DM, Huddle, Clip หรือ Canvas ในการสื่อสารหรือทำงาน ทำให้ กระบวนการทำงานซับซ้อนขึ้น
● ความยุ่งยากในการบำรุงรักษา: ฟีเจอร์ที่มีการใช้งานต่ำ (เช่น Interactive Screen-sharing ใน Huddles) ได้ถูก ยกเลิก ในที่สุด เนื่องจากมีต้นทุนและความซับซ้อนในการดูแลรักษา (Maintenance Cost) สูง เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้งานจริง
● “Urgency Creep”: การที่ Slack พยายามแจ้งเตือนทุกเรื่องด้วยความสำคัญเท่ากัน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าทุกข้อความต้องได้รับการตอบกลับทันที ซึ่งเพิ่มความกดดันในการทำงานโดยไม่จำเป็น
Evernote จากเครื่องมือช่วยจดจำ สู่การพยายามเป็นทุกสิ่งสำหรับทุกคน
● การขยายขอบเขตมากจากเดิมจนการใช้งานซับซ้อน: พยายามเป็นเครื่องมือ Productivity ทุกรูปแบบ ทำให้ผู้ใช้สับสนว่าตกลงแล้ว Evernote เป็นแอปจดบันทึกหรือแอปบริหารโครงการ?
● การละเลย Core Value: ทำให้เกิดปัญหาด้านความเสถียร ผู้ใช้จำนวนมากบ่นว่า Search (การค้นหา) ซึ่งเป็นหัวใจหลักของผลิตภัณฑ์ ทำงานได้แย่ลง และ Sync (การซิงค์ข้อมูล) ระหว่างอุปกรณ์เกิดปัญหาบ่อยครั้ง
● การสูญเสียกลุ่มเป้าหมายเดิม: แอปพลิเคชัน ทำงานช้าลงอย่างเห็นได้ชัด (Sluggish) และ กินทรัพยากรเครื่อง มากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ที่ต้องการความรวดเร็วในการจดบันทึก (Quick Notes) เลิกใช้งาน
Feature creep อาจส่งกระทบต่อโปรดักส์ ในแง่การใช้งาน และบางครั้งสาเหตุอาจเกิดจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือวิสัยทัศน์ในทิศทางใหม่เนื่องจากเป้าหมายทาง business แต่ยังมีอีกรูปแบบหนึ่งของการเพิ่มหรือขยายขอบเขตที่เกิดขึ้นหลังจากโครงการได้เริ่มต้นไปแล้ว และส่งผลกระทบรุนแรงต่อระยะเวลาการพัฒนา งบประมาณ และคุณภาพงาน เราเรียกสิ่งนี้ว่า “Scope Creep”
Scope Creep
ลักษณะ
Scope Creep
Feature Creep
- ขาดการควบคุมการเปลี่ยนแปลงที่เป็นทางการแลเข้มงวด ทั้งในการตรวจสอบ ประเมินผลกระทบ (ต่อเวลาและงบประมาณ) และอนุมัติการเปลี่ยนแปลง
- ข้อกำหนดเริ่มต้นไม่ชัดเจน
- การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากเกินไป
- ความเชื่อว่าฟีเจอร์ที่มากขึ้นจะดีกว่า
- การตอบสนองต่อคำขอผู้ใช้/คู่แข่งรายบุคคล
- โครงการล่าช้า งบประมาณเกิน
- โครงการอาจล้มเหลว
- ผลิตภัณฑ์ซับซ้อนขึ้น
- ประสบการณ์ผู้ใช้แย่ลง
- ซอฟต์แวร์อืด
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Scope Creep
1. ข้อกำหนดไม่ชัดเจน (Poorly Defined Requirements): ข้อกำหนดของโครงการ (Project Scope Statement) ที่ไม่สมบูรณ์ คลุมเครือ หรือไม่ได้มีการสื่อสารที่ชัดเจนตั้งแต่แรก
**ตัวอย่าง Scope Creep: Case Study**
HealthCare.gov (เว็บไซต์ตลาดกลางประกันสุขภาพของสหรัฐฯ)
สิ่งที่เกิดขึ้น:
- ความซับซ้อนเกินจริง: เว็บไซต์ต้องเชื่อมต่อและดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลของรัฐบาลหลายแห่งเพื่อตรวจสอบสิทธิ์การรับเงินอุดหนุน (Subsidies) และการตรวจสอบตัวตน ซึ่งเดิมไม่ได้วางแผนให้ซับซ้อนขนาดนั้นในเฟสแรก
- งบประมาณบานปลาย: ค่าใช้จ่ายโครงการ เพิ่มขึ้นจากประมาณ $93.7 ล้าน เป็น $1.7 พันล้าน (บานปลายกว่าสิบเท่า) ในเวลาต่อมา
Denver International Airport - DIA (โครงการก่อสร้าง: ระบบจัดการสัมภาระของสนามบินนานาชาติเดนเวอร์ในช่วงทศวรรษ 1990)
- ความซับซ้อนทางเทคนิคที่ไม่สามารถทำได้: ระบบถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นมากเกินไป จนกลายเป็นระบบที่ซับซ้อนเกินกว่าเทคโนโลยีที่มีอยู่จะจัดการได้จริง
- ความล่าช้า: สนามบินเลื่อนการเปิดใช้งานไปกว่า 16 เดือน (หลังจากเลื่อนแล้วเลื่อนอีกไปถึง 4 รอบ) และเปิดทำการจริงในเดือนกุมภาพันธ์ 1995 ระบบอัตโนมัติที่ทะเยอทะยานนี้ สุดท้ายแล้วหลงเหลือมาถูกใช้งานอย่างจำกัดในคอนคอร์สเดียว โดยสายการบินเดียว และใช้สำหรับเที่ยวบินขาออกเท่านั้น ส่วนการจัดการสัมภาระส่วนใหญ่ต้องอาศัยระบบรถลากและรถเข็นแบบแมนนวลที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเร่งด่วนแทน
วิธีป้องกัน Scope Creep ที่มีประสิทธิภาพ
- บันทึก: ต้องเขียนคำขอเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นทางการ
- ประเมิน: ต้องประเมินผลกระทบต่อเวลา งบประมาณ และทรัพยากร
- อนุมัติ: ต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการ/ผู้มีอำนาจตัดสินใจ
Writer:
Young-Man
Maybe you’re the same as me.
We see things they’ll never see.


