Design Talk Halloween: The Worst Radio คลื่นสยองของคนทำแอป ตอน Feature Creep

🎙️The Worst Radio 👻

🎙️ พี่จ๊าค: สวัสดีครับคุณผู้ฟัง! กลับมาอยู่กับ The Worst Radio… คืนนี้เรามาอยู่กับประสบการณ์ สุดหลอนในโลกของ IT และการทําแอปพลิเคชัน… ตอนนี้เราไปรับสายจาก คุณ อู๊ดนะครับ

🐽 คุณอู๊ด: สวัสดีครับ พี่จ๊าค

🎙️ พี่จ๊าค: คุณอู๊ดโทรมาจากทีไหนครับ… แล้วเปน Developer สายไหนครับเนี่ย?

🐽 คุณอู๊ด: เป็น Full-Stack Developer ครับพี่จ๊าค เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนผมกําลังทําแอปตัวนึงเป็นร้านค้าไว้ขายของออนไลน์ครับ

🎙️ พี่จ๊าค: โอเคครับ! ประสบการณ์ที่คุณเจอเป็นประสบการณ์ตรงสุดหลอนกับโปรเจกต์… เชิญครับ!

(คุณอู๊ดเริ่มเล่าถึงการตกลง Scope ที่ชัดเจนและการเขียนโค้ดอย่างราบรื่น จนกระทั่งใกล้ถึงวันส่งงาน…)

🐽 คุณอู๊ด: ตอนแรกผมคิดว่างานนี้ไม่น่ายาก เปิดร้านค้า มีปุ่มสั่งซื้อ ชําระเงินผ่านบัตรเครดิต แต่แล้ว คืนนึง จังหวะที่ผมกําลังจะกด Commit โค้ดสุดท้าย… จู่ๆ ก็มีแชทดังขึ้น!

🎙️ พี่จ๊าค: ฮึ้ยยยย แล้ว… แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นครับ?

🐽 คุณอู๊ด: ในแชทเปนข้อความส่งมาว่า “น้อง พี่ขอเพิ่มอีกนิดเดียว”

🎙️ พี่จ๊าค: ขุ่นพระ! แล้วยังไงต่อครับ

🐽 คุณอู๊ด: นิดเดียวที่ว่า ก็คือให้เพิ่มระบบ Try-On AR ในทุกสินค้าและทำระบบ Dynamic Pricing ที่ราคาจะเปลี่ยนตามพฤติกรรมลูกค้าทุก 5 วินาทีครับ… ฮือออ แล้วมันจะเสร็จทันเดือนนี้มั้ยล่ะครับพี่จ๊าค!

🎙️ พี่จ๊าค: โอ้โหคุณน้า! ขนลุกครับ เรื่องนี้ผมมั่นใจว่า Developer ทุกคนฟังแล้วชาไปถึงสันหลังแน่ๆ! ขอบคุณมากนะครับคุณอู๊ด ที่มาแชร์ประสบการณ์สุดสยองของ ‘ขอเพิ่มนิดเดียว’ ในค่ำคืนนี้

จากเรื่องเล่าสยองๆ แนวพาโรดี้ข้างบน จริงๆ แล้วในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์เราเรียกพฤติกรรมการเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ เข้ามาโดยที่ไม่ได้มีการวางแผนไว้แต่แรกนี้ว่า “Feature Creep” หลายคนอาจคิดว่า โปรดักต์ที่ดี ต้องมีฟีเจอร์เยอะๆ — แต่จริงหรือเปล่า? วันนี้เรามาหาคำตอบกัน

💡 Feature Creep คืออะไร?

Feature Creep คือ แนวโน้มของการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่องและค่อยเป็นค่อยไป จนเกินขอบเขตเดิมของผลิตภัณฑ์ ซึ่งมักเป็นฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ที่ใช้งานผลิตภัณฑ์นั้นๆ

⚠️ ผลกระทบที่เกิดขึ้น

การที่ผลิตภัณฑ์สักตัวมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามาต่อเติมเสริมแต่งจากเดิมที่มีอยู่แล้ว จนเกิดอาการ Feature Creep นั้น มักมีผลกระทบตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ คือ

1. ผลิตภัณฑ์ซับซ้อน (Bloated): interface รก ใช้งานยาก
2. ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) แย่ลง: ผู้ใช้หาฟังก์ชันหลักไม่เจอ
3. ระบบทำงานช้าลง: ซอฟต์แวร์ใช้ทรัพยากรมากขึ้น
4. เพิ่มภาระการบำรุงรักษา
5. เกิด Bugs มากขึ้น ตามฟีเจอร์ที่เพิ่มเติมเข้ามา
6. ทีมพัฒนาสูญเสียโฟกัสหลัก
7. งานเกิดความล่าช้า เนื่องจากต้องใช้เวลาเพิ่ม งบบานปลาย

🧩 Case Study

Feature creep มักจะเกิดขึ้นกับ product ใหญ่ๆ ที่เป็นที่รู้จักกันดี และมีผู้ใช้งานจำนวนมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้วโดยปกติที่มามักเกิดจากความปรารถนาดี เช่น การตอบสนองต่อคำขอของผู้ใช้งานหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders), ความต้องการที่จะเหนือกว่าคู่แข่ง, หรืออาจเกิดจากสาเหตุด้านวิสัยทัศน์ของผลิตภัณฑ์ที่ขาดเป้าหมายที่ความชัดเจน ซึ่งหากไม่มีการควบคุมหรือจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างเหมาะสม มักจะลงเอยด้วยอาการ Feature Creep ในท้ายที่สุด ตัวอย่าง Case Study ที่เคยเกิดขึ้นกับโปรดักส์เจ้าใหญ่ๆ มาแล้ว เช่น

Microsoft Word (ยุค 2000s)

Microsoft Word เริ่มต้นจากการเป็นโปรแกรมประมวลผลคำ (Word Processor) ที่ใช้งานง่ายและทรงพลัง ซึ่งหลายคนน่าจะต้องเคยใช้งานกันมาแล้วไม่มากก็น้อย

อาการ Feature Creep: ในช่วงปี 1990s ถึงต้น 2000s (เช่น Word 2000) Microsoft ได้เพิ่มฟีเจอร์และเมนูย่อยที่ไม่จำเป็นจำนวนมากเข้าไปใน interface โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองผู้ใช้ทุกกลุ่ม ซึ่งการออกแบบให้รองรับกับผู้ใช้ทุกกลุ่มนี่แหละที่ตามมาด้วยบรรดา ไอคอน เมนูที่แสดงผลในหน้าจอการทำงานเกิน 1 ใน 3 ของหน้าจอ เป็นผลให้ ui รกและผู้ใช้งานหาฟีเจอร์ที่ต้องการใช้งานจริงๆ ยากกว่าเดิม
ผลกระทบ:
  • ความซับซ้อนของ Interface (UI/UX Bloat): หน้าจอเต็มไปด้วยแถบเครื่องมือ (Toolbars) และเมนูที่ไม่ค่อยมีใครใช้ ทำให้ผู้ใช้ส่วนใหญ่รู้สึกท่วมท้นและหงุดหงิดกับการค้นหาฟังก์ชันพื้นฐาน
  • ซอฟต์แวร์ทำงานช้าลง: การมีโค้ดขนาดใหญ่และฟังก์ชันที่ซับซ้อนส่งผลให้โปรแกรมใช้ทรัพยากรระบบมากขึ้น

Google Wave (2010-2012)

Google Wave เปิดตัวในปี 2009 โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะปฏิวัติการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน โดยรวมคุณสมบัติของอีเมล, แชท, โซเชียลมีเดีย, และเอกสารแบบเรียลไทม์ไว้ในที่เดียว ซึ่งกลับกลายเป็นโปรดักส์ที่มาก่อนกาล
อาการ Feature Creep: ผลิตภัณฑ์นี้พยายามทำทุกอย่างพร้อมกัน (เป็น “Wave”) แต่ไม่มีการโฟกัสที่ชัดเจนว่าปัญหาหลักที่มันกำลังแก้คืออะไร และผู้ใช้กลุ่มเป้าหมายคือใคร
ผลกระทบ:

● สับสนในการใช้งาน: ผู้ใช้ไม่เข้าใจว่าควรใช้ Wave แทนอีเมล แชท หรือเครื่องมืออื่น ๆ และต้องใช้เมื่อไหร่
● การยอมรับต่ำ: แม้จะมีความตื่นเต้นในช่วงแรก แต่ผู้ใช้ก็เลิกใช้ไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความซับซ้อนและความคลุมเครือของวัตถุประสงค์

ตู้เย็นอัจฉริยะ (Smart Fridges)

ตู้เย็น (Refrigerator): ทำหน้าที่หลักคือรักษาอาหารให้เย็นและคงความสด
อาการ Feature Creep: ผู้ผลิตพยายามเพิ่มฟีเจอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับแก่นหลักของผลิตภัณฑ์ เช่น หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่, เว็บเบราว์เซอร์, การสตรีมเพลง, หรือแม้กระทั่งความสามารถในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์
ผลกระทบ:

● ราคาสูงเกินจริง: ฟีเจอร์ “อัจฉริยะ” เหล่านี้ทำให้ราคาสูงขึ้นอย่างมาก โดยที่ไม่ได้เพิ่มมูลค่าในการถนอมอาหารเลย
● ความยุ่งยากในการบำรุงรักษา: ระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์มีแนวโน้มที่จะล้าสมัยหรือมีปัญหาด้านความปลอดภัย ทำให้เกิดความไม่สะดวกมากกว่าความสะดวก
● ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่ใช้ฟีเจอร์เหล่านั้น: ฟีเจอร์หลักที่ผู้ใช้ต้องการคือการทำความเย็นที่ดีและประหยัดพลังงาน ไม่ใช่การดู YouTube บนประตูตู้เย็น

JIRA จาก tool เฉพาะทางสู่การเป็นแพลตฟอร์มรองรับงานทุกรูปแบบ

Jira เป็นเว็บแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาในตอนแรกเพื่อเป็น เครื่องมือติดตามปัญหา (Bug Tracker) สำหรับทีมพัฒนาซอฟต์แวร์
อาการ Feature Creep: การขยายขอบเขตอย่างต่อเนื่องเพื่อพยายามเป็น แพลตฟอร์มบริหารจัดการโครงการ (Project Management) แบบครบวงจรสำหรับทุกทีม (เช่น การตลาด, HR) การเพิ่มฟีเจอร์ที่ซับซ้อน เช่น Workflow ที่ปรับแต่งได้สูง, ระบบ Automation, และ Boards หลายประเภท ทำให้ผลิตภัณฑ์ ซับซ้อนและเทอะทะ (Bloated) จนเกินความจำเป็นสำหรับทีมขนาดเล็ก
ผลกระทบ:

● ความซับซ้อนของ UI/UX: ผู้ใช้งานใหม่มักจะรู้สึก ท่วมท้นและสับสน ในการตั้งค่าโปรเจกต์ เนื่องจากมีตัวเลือก, ประเภท Issues, และการตั้งค่า Workflow ที่ปรับแต่งได้มากเกินไป
● Performance ลดลง: การมีฟีเจอร์และโค้ดที่ซับซ้อนมากทำให้เว็บแอปพลิเคชัน โหลดช้าลง หรือทำงานหนักขึ้นในบางกรณี
● การสูญเสียกลุ่มเป้าหมายเดิม: ทีมขนาดเล็กที่ต้องการเครื่องมือติดตามบั๊กที่เรียบง่ายมักจะหนีไปใช้เครื่องมือที่ใช้งานง่ายกว่า (เช่น Trello หรือ Asana)

Slack (แอปพลิเคชันสื่อสารในองค์กร)

เริ่มต้นจากจุดแข็งในการเป็นแอปพลิเคชันแชทที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการรวมศูนย์การสื่อสารในองค์กรและการผสานรวมกับแอปพลิเคชันอื่นๆ
อาการ Feature Creep: ความพยายามที่จะทำให้ Slack เป็น “ศูนย์กลางการทำงานทุกอย่าง” แทนที่จะเป็นแค่ “ศูนย์กลางการสื่อสาร”
ผลกระทบ:

● ภาระการตัดสินใจของผู้ใช้: ผู้ใช้ต้องตัดสินใจว่าจะใช้ Channel, DM, Huddle, Clip หรือ Canvas ในการสื่อสารหรือทำงาน ทำให้ กระบวนการทำงานซับซ้อนขึ้น
● ความยุ่งยากในการบำรุงรักษา: ฟีเจอร์ที่มีการใช้งานต่ำ (เช่น Interactive Screen-sharing ใน Huddles) ได้ถูก ยกเลิก ในที่สุด เนื่องจากมีต้นทุนและความซับซ้อนในการดูแลรักษา (Maintenance Cost) สูง เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้งานจริง
● “Urgency Creep”: การที่ Slack พยายามแจ้งเตือนทุกเรื่องด้วยความสำคัญเท่ากัน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าทุกข้อความต้องได้รับการตอบกลับทันที ซึ่งเพิ่มความกดดันในการทำงานโดยไม่จำเป็น

Evernote จากเครื่องมือช่วยจดจำ สู่การพยายามเป็นทุกสิ่งสำหรับทุกคน

Evernote เริ่มต้นด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนคือการเป็น “สมองที่สองของคุณ” (Your Second Brain) ซึ่งเน้นไปที่การเก็บข้อมูลทุกรูปแบบ (Capture Anything), การจัดระเบียบ (Organize), และการค้นหาที่มีประสิทธิภาพสูง (Powerful Search)
อาการ Feature Creep: หลังจากแอปขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยการมีผู้ใช้งานมากถึง 150 ล้านคนในปี 2015 ความทะเยอทะยานที่จะเปลี่ยนตัวเองให้ครอบคลุมทุกความต้องการของทุกคน นำมาซึ่งการเพิ่มฟีเจอร์เข้ามามากมายโดยที่ไม่ได้เพิ่มคุณค่าหลักของตัวเอง
ผลกระทบ:

● การขยายขอบเขตมากจากเดิมจนการใช้งานซับซ้อน: พยายามเป็นเครื่องมือ Productivity ทุกรูปแบบ ทำให้ผู้ใช้สับสนว่าตกลงแล้ว Evernote เป็นแอปจดบันทึกหรือแอปบริหารโครงการ?
● การละเลย Core Value: ทำให้เกิดปัญหาด้านความเสถียร ผู้ใช้จำนวนมากบ่นว่า Search (การค้นหา) ซึ่งเป็นหัวใจหลักของผลิตภัณฑ์ ทำงานได้แย่ลง และ Sync (การซิงค์ข้อมูล) ระหว่างอุปกรณ์เกิดปัญหาบ่อยครั้ง
● การสูญเสียกลุ่มเป้าหมายเดิม: แอปพลิเคชัน ทำงานช้าลงอย่างเห็นได้ชัด (Sluggish) และ กินทรัพยากรเครื่อง มากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ที่ต้องการความรวดเร็วในการจดบันทึก (Quick Notes) เลิกใช้งาน

Feature creep ในเว็บแอปพลิเคชันมักส่งผลกระทบรุนแรง เนื่องจากทุกฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาหมายถึง การเพิ่มโค้ดที่ต้อง ดาวน์โหลด (Payload) และ ประมวลผล (Processing) ในฝั่งผู้ใช้ (Browser) ทำให้แอปพลิเคชันทำงานช้าลงและอินเทอร์เฟซรก ซึ่งเป็นปัญหาที่ผู้ใช้ SaaS ยุคปัจจุบันให้ความสำคัญอย่างมาก

Feature creep อาจส่งกระทบต่อโปรดักส์ ในแง่การใช้งาน และบางครั้งสาเหตุอาจเกิดจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือวิสัยทัศน์ในทิศทางใหม่เนื่องจากเป้าหมายทาง business แต่ยังมีอีกรูปแบบหนึ่งของการเพิ่มหรือขยายขอบเขตที่เกิดขึ้นหลังจากโครงการได้เริ่มต้นไปแล้ว และส่งผลกระทบรุนแรงต่อระยะเวลาการพัฒนา งบประมาณ และคุณภาพงาน เราเรียกสิ่งนี้ว่า “Scope Creep”

Scope Creep

คือ การขยายตัวของขอบเขตโครงการ หรือ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มีการควบคุมและไม่ได้มีการอนุมัติอย่างเป็นทางการ หลังจากที่โครงการได้เริ่มต้นไปแล้ว ซึ่งมักจะส่งผลให้โครงการล่าช้า งบประมาณบานปลาย และคุณภาพของผลลัพธ์ลดลง
**ความแตกต่างหลัก ระหว่าง Scope Creep และ Feature Creep** *Scope creep เป็นคำที่ กว้างกว่า และยังรวมถึง Feature creep ไว้ด้วย

ลักษณะ

Scope Creep

Feature Creep

ขอบเขต
กว้าง: การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่อยู่นอกขอบเขตเดิมของโครงการ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนการ งานเอกสาร ข้อกำหนด หรือฟีเจอร์
จำเพาะ: การเพิ่มเติม ฟีเจอร์หรือฟังก์ชันการทำงานใหม่ ๆ เข้ามาในผลิตภัณฑ์โดยไม่ได้มีการวางแผนไว้แต่แรก
สาเหตุ
  • ขาดการควบคุมการเปลี่ยนแปลงที่เป็นทางการแลเข้มงวด ทั้งในการตรวจสอบ ประเมินผลกระทบ (ต่อเวลาและงบประมาณ) และอนุมัติการเปลี่ยนแปลง
  • ข้อกำหนดเริ่มต้นไม่ชัดเจน
  • การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากเกินไป
  • ความเชื่อว่าฟีเจอร์ที่มากขึ้นจะดีกว่า
  • การตอบสนองต่อคำขอผู้ใช้/คู่แข่งรายบุคคล
ผลกระทบ
  • โครงการล่าช้า งบประมาณเกิน
  • โครงการอาจล้มเหลว
  • ผลิตภัณฑ์ซับซ้อนขึ้น
  • ประสบการณ์ผู้ใช้แย่ลง
  • ซอฟต์แวร์อืด

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Scope Creep

1. ข้อกำหนดไม่ชัดเจน (Poorly Defined Requirements): ข้อกำหนดของโครงการ (Project Scope Statement) ที่ไม่สมบูรณ์ คลุมเครือ หรือไม่ได้มีการสื่อสารที่ชัดเจนตั้งแต่แรก

2. การขาดการควบคุมการเปลี่ยนแปลง (Weak Change Control): ไม่มีกระบวนการที่เป็นทางการในการตรวจสอบ อนุมัติ หรือปฏิเสธคำขอเปลี่ยนแปลง (Change Request) ที่เข้ามา
3. ความพยายามในการทำให้ลูกค้า/ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียพอใจ (Stakeholder Pressure): การที่ผู้จัดการโครงการไม่กล้า “ปฏิเสธ” คำขอเพิ่มเติมที่มาจากผู้มีอำนาจ
4. ความเชื่อว่า “มันเป็นแค่งานเล็กน้อย” (It’s just a small thing): การเพิ่มงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้บันทึกหรือประเมินผลกระทบรวม
5. ทำเกินสเปค (Gold Plating) : ทีมงานเพิ่มฟีเจอร์หรือปรับปรุงงานที่ไม่ได้ร้องขอ เพียงเพราะพวกเขาคิดว่ามันจะ “ดีกว่า” หรือ “เจ๋งกว่า” โดยที่ไม่ได้เพิ่มมูลค่าให้กับผู้ใช้

**ตัวอย่าง Scope Creep: Case Study**

HealthCare.gov (เว็บไซต์ตลาดกลางประกันสุขภาพของสหรัฐฯ)

ขอบเขตเริ่มต้น:
สร้างเว็บไซต์ที่เรียบง่ายเพื่อให้ประชาชนสามารถค้นหาแผนประกันสุขภาพและสมัครได้

สิ่งที่เกิดขึ้น:

ศูนย์บริการเมดิแคร์และเมดิเคด (Centers for Medicare & Medicaid Services หรือ CMS) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐภายใต้กระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์สหรัฐอเมริกา และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมาก เพิ่มข้อกำหนดใหม่และแก้ไขข้อกำหนดอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งในเดือนสุดท้ายก่อนเปิดตัว
ผลลัพธ์:
เปิดตัวเว็บไซต์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2013 และล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่สามารถลงทะเบียนได้ เว็บไซต์พัง และมีข้อผิดพลาดมากมาย
ผลกระทบจาก Scope Creep:
  • ความซับซ้อนเกินจริง: เว็บไซต์ต้องเชื่อมต่อและดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลของรัฐบาลหลายแห่งเพื่อตรวจสอบสิทธิ์การรับเงินอุดหนุน (Subsidies) และการตรวจสอบตัวตน ซึ่งเดิมไม่ได้วางแผนให้ซับซ้อนขนาดนั้นในเฟสแรก
  • งบประมาณบานปลาย: ค่าใช้จ่ายโครงการ เพิ่มขึ้นจากประมาณ $93.7 ล้าน เป็น $1.7 พันล้าน (บานปลายกว่าสิบเท่า) ในเวลาต่อมา

Denver International Airport - DIA (โครงการก่อสร้าง: ระบบจัดการสัมภาระของสนามบินนานาชาติเดนเวอร์ในช่วงทศวรรษ 1990)

ขอบเขตเริ่มต้น:
สร้างระบบขนส่งสัมภาระแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ เพื่อให้บริการแก่ทุกสายการบินในสามอาคารผู้โดยสารหลักของสนามบินใหม่
สิ่งที่เกิดขึ้น:
ระหว่างการก่อสร้าง มีการเพิ่มข้อกำหนดด้านความเร็ว ความยืดหยุ่น และเส้นทางสัมภาระที่ซับซ้อนเกินจริงเข้ามา เพื่อรองรับการทำงานของสายการบินที่ต้องการ ซึ่งเป็นความสามารถพิเศษที่ไม่ได้อยู่ในสเปคเดิม
ผลลัพธ์:
ระบบจัดการสัมภาระอัตโนมัติ ล้มเหลวในการทดสอบ และต้องยกเลิกการใช้งานส่วนใหญ่ และหันไปใช้ระบบจัดการสัมภาระแบบดั้งเดิม (รถลาก) แทน
สาเหตุหลัก:
การรีบเร่งกำหนดเส้นตายที่ไม่สมจริง และ การยินยอมเพิ่มข้อกำหนด (Scope) ตามความต้องการของลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก (สายการบิน) โดยไม่มีการประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน
ผลกระทบจาก Scope Creep:
  • ความซับซ้อนทางเทคนิคที่ไม่สามารถทำได้: ระบบถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นมากเกินไป จนกลายเป็นระบบที่ซับซ้อนเกินกว่าเทคโนโลยีที่มีอยู่จะจัดการได้จริง
  • ความล่าช้า: สนามบินเลื่อนการเปิดใช้งานไปกว่า 16 เดือน (หลังจากเลื่อนแล้วเลื่อนอีกไปถึง 4 รอบ) และเปิดทำการจริงในเดือนกุมภาพันธ์ 1995 ระบบอัตโนมัติที่ทะเยอทะยานนี้ สุดท้ายแล้วหลงเหลือมาถูกใช้งานอย่างจำกัดในคอนคอร์สเดียว โดยสายการบินเดียว และใช้สำหรับเที่ยวบินขาออกเท่านั้น ส่วนการจัดการสัมภาระส่วนใหญ่ต้องอาศัยระบบรถลากและรถเข็นแบบแมนนวลที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเร่งด่วนแทน
เมืองเดนเวอร์ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสนามบินที่ว่างเปล่าและดอกเบี้ยเงินกู้ก่อสร้างในอัตราสูงถึง $1.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อวัน (ประมาณ 35,640,000 บาท) และหลังจากฝืนใช้ระบบอัตโนมัติที่เหลืออยู่หลังจากเปิดสนามบินต่อไปอีก 10 ปี โดยระบบที่ว่าก็ไม่เคยทำงานได้ดีตามที่คาดหวังไว้ จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2005 จึงได้มีการยกเลิกการใช้งานโดยสมบูรณ์ฺ เนื่องจากค่าบำรุงรักษาที่สูงมากนั่นเอง
จากตัวอย่าง case study จะเห็นได้ว่า Scope Creep นั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่การพัฒนาซอฟต์แวร์เท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาใหญ่ในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ด้วย ซึ่งหากต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหานี้ขึ้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรระมัดระวังและหาวิธีป้องกันอย่างรัดกุม

วิธีป้องกัน Scope Creep ที่มีประสิทธิภาพ

1. กำหนดขอบเขตให้ชัดเจน: สร้างเอกสาร Project Scope Statement หรือ Project Charter ที่ระบุอย่างชัดเจนว่า อะไรคือสิ่งที่รวมอยู่ในโครงการ (In-Scope) และ อะไรคือสิ่งที่ไม่ได้รวม (Out-of-Scope)
2. ควบคุมการเปลี่ยนแปลงอย่างมีระบบ (Change Control System): กำหนดกระบวนการที่เข้มงวดสำหรับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เข้ามา
  • บันทึก: ต้องเขียนคำขอเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นทางการ
  • ประเมิน: ต้องประเมินผลกระทบต่อเวลา งบประมาณ และทรัพยากร
  • อนุมัติ: ต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการ/ผู้มีอำนาจตัดสินใจ
3. ใช้การสื่อสารที่ชัดเจน: สื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับสถานะของโครงการ และอธิบายผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงขอบเขตต่อเป้าหมายโดยรวม
4. เน้น MVP (Minimum Viable Product): สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้มุ่งเน้นที่การส่งมอบคุณค่าหลักที่จำเป็นที่สุดก่อน และเก็บฟีเจอร์เพิ่มเติมไว้สำหรับเฟสถัดไป
Scope Creep จะไม่เป็นปัญหาหากทุกการขยายขอบเขตมีการจัดการและอนุมัติอย่างเป็นทางการ โดยมีการปรับเพิ่มงบประมาณและเวลาตามสัดส่วน (Controlled Growth) แต่ส่วนใหญ่แล้ว Scope Creep ที่เป็นปัญหาคือการขยายขอบเขตที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการปรับเพิ่มทรัพยากรเหล่านี้ (Uncontrolled Growth).

Writer:

Picture of Young-Man

Young-Man

Maybe you’re the same as me.
We see things they’ll never see.